ประจวบคีรีขันธ์-เด็กสาวเล่าทั้งน้ำตาถูกครูปี่พาทย์ข่มขืนเข้าแจ้งความนาน 3 ปีคดีไม่คืบ
ประจวบคีรีขันธ์-เด็กสาวเล่าทั้งน้ำตาถูกครูปี่พาทย์ข่มขืนเข้าแจ้งความนาน 3 ปีคดีไม่คืบ
30 ก.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางวิไลวรรณ พมพา อายุ 54 ปี พร้อม นางศิริมา หล่อทรง อายุ 55 ปี ทั้งสองเป็นชาวบ้านหมู่ 2 ต.เขาน้อย อ.ปราณบุรี จ.ประจวบฯ ร้องขอความเป็นธรรมให้สื่อช่วยติดตามคดีหลังตนและพวก เข้าแจ้งความครูสอนปี่พาทย์วงดนตรีไทยในหมู่บ้านกระทำอนาจารและล่วงละเมิดทางเพศบุตรสาวทั้งสองของตนและพวกรวมสามคน ซึ่งได้แจ้งความไว้ที่สภ.ปราณบุรี จ.ประจวบฯ ตั้งแต่ปี 65 แต่คดียังไม่มีความคืบหน้า โดยทั้งสองอ้างว่าตนและพวกอาจไม่ได้รับความร่วมมือจากพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีอย่างเป็นธรรม จึงเข้าปรึกษาฝ่ายกฎหมายพร้อมร้องขอให้สื่อช่วยติดตาม เนื่องจากทราบว่ามีความพยายามใช้อิทธิพลบ้านใหญ่สายนักการเมืองท้องถิ่นติดต่อประสานมาให้ตนยอมความไม่ให้เอาเรื่อง จึงเกลงว่าบุตรสาวตนกับเพื่อนจะไม่ได้รับความเป็นธรรมเนื่องจากคดียังไม่มีความคืบหน้า
ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่พบนางวิไลวรรณกับพวกเป็นแม่ของเด็กทั้งสามเพื่อสอบถามเรื่องราวความเป็นมา โดยนางวิไลวรรณเล่าว่า เรื่องราวและเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนปี 65 ก่อนที่ตนจะเข้าแจ้งความไว้ที่สภ.ปราณบุรี ร่วม 3 ปีแล้ว ต้อนนั้นน้องยังเป็นนักเรียนปฐมหลังจบก็เข้าศึกษาต่อที่สถานศึกษาแห่งหนึ่งในพื้นที่ ตนมาทราบเรืองน้องเล่าให้พี่ชายฟังว่าครูปี่พาทย์มารับจ้างดูดส้วมที่บ้านเป็นอาชีพเสริม ระหว่างไม่มีคนจึงสบโอกาสทำอนาจารโดยเอานิ้วสอดใสไปในอวัยวะเพศจนเกิดการอักเสบนานหลายวันโดยน้องก็ไม่กล้าที่จะบอกใครก่อนเล่าให้พี่ชายฟัง หลังพาน้องไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล ตนจึงทราบว่าน้องถูกครูปี่พาทย์ทำอนาจารล่วงละเมิดทางเพศมานานหลายปีแล้ว ซึ่งตนไม่คิดว่าครูสอนปี่พาทย์ที่ตนไว้ใจให้บุตรสาวไปเรียนด้วย จะทำเรื่องแบบนี้กับเด็กๆได้ลง โดยเมื่อหลายปีก่อนน่าครูปี่พาทย์โทรมาหาตนบอกจะขอให้ลูกสาวเข้าไปเรียนปี่พาทย์จึงไม่คิดอะไร เนื่องจากลูกสาวเป็นเด็กชอบการดนตรีไทยตนจึงเห็นว่าเป็นการเสริมทักสะขั้นพื้นฐานเพิ่มเติมให้เด็กหลังเลิกเรียน จึงยอมให้ลูกไปเรียนในตอนนั้นและเนื่องจากครูปี่พาทย์ก็เป็นคนเก่าแก่ในหมู่บ้านที่ตนนับถือ พักหลังเห็นพฤติกรรมเด็กเปลี่ยนไปถามเรื่องเรียนก็ไม่พูดจามีอาการซึมเศร้าหลังกลับจากโรงเรียน หลังทราบความจริงจากลูกสาวตนกับเพื่อนบ้านอีกคนที่นำบุตรสาวไปเรียนปี่พาทย์ด้วยกันรวมสามคนเข้าแจ้งความที่สภ.ปราณบุรี ร่วม 3 ปีแล้วแต่คดียังไม่มีความคืบหน้าโดยพนักงานสอบสวนอ้างว่าสำนวนหายบ้าง ให้ตนพาเด็กไปตรวจร่างกายใหม่อีกครั้งบ้าง จากนั้นก็มีโทรศัพท์มาหาตนอ้างเป็นบ้านใหญ่ในสายนักการเมืองท้องถิ่นให้ตนยอมความไม่ให้เอาเรื่องบ้าง ตนจึงคิดว่าบุตรสาวตนและเพื่อนอาจจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในคดี จึงร้องขอให้สื่อช่วยติดตามความคืบหน้าในคดีให้ตนด้วย พร้อมนำเรื่องเข้าปรึกษาฝ่ายกฎหมายจะมีทางช่วยเหลือให้บุตรสาวตนและพวกได้รับความเป็นธรรมอย่างไรได้บ้าง
ด้านน้องเตย และน้องตาล(นามสมมุต)วัย 17 ปี แฝดพี่น้อง พร้อมเพื่อนสาวน้องเอื้อม(นามสมมุต) อายุ 19 ปี ทั้งสามเล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า เนื่องจากพวกตนมีความสนใจในการดนตรีไทยมาตั้งแต่เด็กจึงขอแม่ไปเรียนเสริมหลังกลับจากโรงเรียน ตอนนั้นพวกตนยังอยู่วัยปฐมจึงไม่เข้าในการล่วงละเมิด คิดว่าเป็นความรักแบบผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็ก พอการเวลาผ่านไปนานเข้าครูปี่พาทย์เริ่มมีพฤติกรรมเบนทางเพศมากขึ้น เคยบอกผู้ปกครองแต่ไม่เชื่อคิดว่าเขาเป็นครูไม่น่าจะทำเรื่องแบบนี้ได้ แต่ก็ยังไปเรียนปี่พาทย์เช่นเคยเนื่องจากตนชอบ และหากมีงานจ้างวงปี่พาทย์ที่ไหนเขาก็จะพาไปออกงานพวกตนก็จะมีเงินใช้เป็นรายได้เสริมต่างหาก
โดยแฝดพี่น้องเล่าทั้งน้ำตาต่อไปว่า พอนานวันตนเริ่มโตขึ้น ครูปี่พาทย์เริ่มมีพฤติการณ์หนักขึ้นถึงขั้นล่วงละเมิดทางเพศโดยการข่มขืนตนโดยที่ตนไม่มีทางขันขืน ต่อนนั้นตนเกิดความอายไม่กล้าที่จะบอกให้ใครทราบ เนื่องจากเคยบอกผู้ปกครองแต่ไม่มีใครเชื่อ จากนั้นตนกับน้องและเพื่อนไม่กลับไปเรียนปี่พาทย์อีกต่างเก็บความลับมาตลอด จนมาวันหนึ่งช่วงโควิด-19 ระบาด วงปี่พาทย์ต้องหยุดตัวลง ครูปี่พาทย์เข้ามารับจ้างสูบส้วมที่บ้านตน ก็ไม่คิดอะไรพอสบโอกาสก็แอบมาทำพฤติกรรมแบบเดิมเข้ามาคุกคามทางเพศโดยเอานิ้วสอดใสในอวัยวะจนเป็นแผลติดเชื่อตนเครียดมากและอายจึงนำเรื่องนี้เล่าให้พี่ชายฟัง
จากกรณีดังกล่าวล่าสุด ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของผู้ใหญ่บ้านรายหนึ่งเข้าช่วยเหลือคดีในทางกฎหมายให้กับเด็กทั้งสาม โดยการรวบรวมเอกสารหลักฐานเตรียมยื่นร้องต่ออัยการจังหวัดประจวบฯในอ.หัวหิน และเจรตำรวจให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวนในคดีดังกล่าวอาจเข้าข่าย 157 หรือไม่
นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสยามโฟกัสไทม์/4เหล่าทัพ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์0909944781