25/12/2024

สืบนครบาล รวบ ผู้ต้องหาลักลอบขายซิมลงทะเบียนกว่า 200 ซิม ติดต่อซื้อขายผ่านสื่อโซเชียล อ้างว่าเอาของพี่มาขายในราคา 30 บาท

IMG_9729

สืบนครบาล รวบ ผู้ต้องหาลักลอบขายซิมลงทะเบียนกว่า 200 ซิม ติดต่อซื้อขายผ่านสื่อโซเชียล อ้างว่าเอาของพี่มาขายในราคา 30 บาท
ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์. รรท.ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ,พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมทางออนไลน์ ที่กระทำความผิดทุกรูปแบบซึ่่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก โดยเฉพาะพวกขายบัญชีม้า ซิมม้า ที่เป็นต้นตอในก่ออาชญากรรมทางออนไลน์
.
โดยเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2567 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ,พ.ต.อ.นิวัตน์ พึ่งอุทัยศรี พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก สส.บช.น. ,พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. ,พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. , ได้สั่งการให้ พ.ต.ต.ทศรัสมิ์ กิติธารา สว.กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวฯ ชุดปฏิบัติการที่ 4ได้ร่วมกันจับกุมตัว
นายสุขบุญรอด (นามสมมุติ) อายุ 29 ปี 110/1 หมู่ที่.5 ตำบลอ่างทอง อำเถอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์

โดยแจ้งข้อกล่าวหากระทำความผิดฐาน เป็นธุระจัดหาโฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อหรือขายเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้บริการในนามของบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้ ” ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2566
.
พร้อมของกลาง จำนวน 2 รายการ ประกอบด้วย
1. ซิมโทรศัพท์เคลื่อนที่ เครือข่าย เอไอเอส ที่ลงทะเบียนพร้อมใช้งานแล้ว จำนวน 200 ซิม
2. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ Oppo รุ่น A77s สีดำ จำนวน 1 เครื่อง
.
สถานที่จับกุม บริเวณถนนสาธารณะปากซอยอยู่สุข 28 ต.บางเมือง อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ
.
พฤติการณ์ สืบเนื่องจากว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. ได้สืบทราบว่ามีผู้ลักลอบจำหน่ายซิมโทรศัพท์ที่ได้ลงทะเบียนแล้วโดยบุคคลอื่นพร้อมใช้ซึ่งมีความผิดตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 จึงได้ให้สายลับทำการติดต่อล่อซื้อพูดคุยกันผ่านข้อความแอปพลิเคชั่นเฟซบุ๊ค โดยผู้ลักลอบจำหน่ายได้ให้เบอร์โทรติดต่อมาด้วย จนต่อมาจึงได้นัดหมายกันในวันที่ 25 พฤษภาคม 2567 เวลาประมาณ 22.00 น. โดยได้ตกลงซื้อขายซิมโทรศัพท์เคลื่อนที่ ลงทะเบียนพร้อมใช้งานแล้ว จำนวน 200 ซิม ในราคา 5,600 บาท โดยจะจ่ายเป็นเงินสดที่จุดนัดพบ โดยผู้ลักลอบจำหน่ายได้ส่งโลเคชั่นมาให้ ปรากฏเป็นบริเวณปากซอยอยู่สุข 28 ต.บางเมือง อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ ต่อมาวันที่ 25 พฤษภาคม 2567 เวลาประมาณ 22.15 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เดินทางไปยัง บริเวณปากซอยอยู่สุข 28 ต.บางเมือง อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ โดยให้สายลับโทรศัพท์ติดต่อยืนยัน ผู้ลักลอบจำหน่ายได้แจ้งว่าตนได้มายืนรออยู่แล้วพร้อมซิมใส่ถุงมาแล้ว เมื่อไปถึงบริเวณจุดนัดพบดังกล่าวข้างต้น พบนายสุขบุญรอด ผู้ต้องหา (ทราบชื่อภายหลัง) กำลังถือโทรศัพท์พูดคุยและถือถุงพลาสติกหูหิ้วสีขาวมีสิ่งของอยู่ด้านใน เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้เข้าไปแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และขอตรวจสอบสิ่งที่อยู่ในถุงพลาสติก ปรากฏพบเป็น ซิมโทรศัพท์เคลื่อนที่ เครือข่าย เอไอเอส จำนวน 200 ซิม

ในชั้นจับกุม ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ซิมทั้งหมดดังกล่าวเป็นซิมที่ลงทะเบียนแล้วพร้อมใช้งานและเป็นของตนเองจริง กำลังจะนำมาให้กับผู้ติดต่อซื้อ โดยก่อนหน้านี้พี่ชายจะเป็นคนขาย ตัวเองนั้นไม่ได้ขาย แต่ต่อมาพี่ชายติดคุก ผู้ต้องหาเลยได้ของมาฟรีๆไม่ได้มีค่าต้นทุน ก็เลยนำมาขายในราคา 30 บาทเนื่องจากไม่มีต้นทุน ผู้ต้องหายังให้การอีกว่า เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่จะขายเป็นซิมเปล่ายังไม่ลงทะเบียน แล้วไปลงทะเบียนที่ประเทศเพื่อนบ้านแล้วค่อยเอามาขาย จากการตรวจสอบจากชุดจับกุม เบอร์ได้มีการลงทะเบียนหมดแล้ว ใช้ชื่อคนไทย เปิดมาประมาณ 3-4 เดือน
.
พล.ต.ต.ธีรเดช ฝากเตือนผู้ที่คิดจะทำอาชีพขายบัญชีม้าหรือซิมม้านั้น ได้ไม่คุ้มเสียกับโทษทางอาญา ขอให้คิดให้ดี ซึ่งตามกำหมายนั้น ผู้ใดเปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก (คนเปิดบัญชีม้า) บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้อง หรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้หรือยืมใช้เลขหมายโทรศัพท์(คนเปิดซิมม้า)สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน ทั้งนี้ โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือความผิดทางอาญาอื่นใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เรื่องราวที่คุณอาจพลาดไป