วันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตหัวหน้าพรรคประชาชาติ ชี้ 5 ปีพรรคประชาชาติเติบโตขึ้น
วันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตหัวหน้าพรรคประชาชาติ ชี้ 5 ปีพรรคประชาชาติเติบโตขึ้น
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา ได้เดินทางไปร่วมประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคประชาชาติครั้งที่ 2/2566 ที่หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ในฐานะสมาชิกพรรคประชาชาติ และอดีตหัวหน้าพรรค
โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ได้รับเชิญให้ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ ก่อนการประชุมใหญ่พรรคประชาชาติจะเริ่มขึ้น ชี้พรรคประชาชาติจะครบ 5 ปีในวันที่ 1 กันยายนนี้ ประจักษ์ชัดว่าประชาชาติไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ มีสมาชิกพรรคเพิ่มขึ้น เติบโตขึ้น เพราะรักษาสัจจะตั้งแต่วินาทีแรกของการก่อตั้งพรรค แม้จะมีคนบางกลุ่มพยายามรั้งไม่ให้เติบโต มีตัวแทนพรรคเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ และมีตัวแทนร่วมคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล ย้ำบทบาทการทำหน้าที่ประธานสภาฯ หลายประเทศเข้าพบคารวะแสดงความยินดีและยกย่องที่ได้เป็นประธานสภาฯครั้งที่ 2 แม้ตนจะเป็นมุสลิมซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศไทย
แต่ได้รับการยอมรับจากคนไทยทั้งประเทศ แม้แต่ยูเครนเข้าพบหารือปัญหาการรักษาสันติภาพและเอกราชของประเทศ แนะทุกฝ่ายต้องรับฟังเสียงของผู้ที่กำลังเดือดร้อน ย้ำปัญหาประชาชนต้องเร่งแก้ ไม่ใช่แค่หน้าที่ฝ่ายบริหารอย่างเดียว แม้จะเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ก่อนตั้งรัฐบาลได้เดินหน้าจับมือประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ร่วมมือไทย-อินโดนีเซียในฐานะสองประเทศผู้ผลิตยางพารา หาแนวทางเพิ่มมูลค่ายางพาราให้สูงขึ้น หลังปิดสมัยประชุมสภาฯนี้ มีแผนจะเดินทางไปเยี่ยมรัฐสภาหลายประเทศ ทั้งซาอุดีอาระเบีย กลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง จีน และเกาหลีใต้ เพื่อดึงนักท่องเที่ยว และให้รับนักศึกษาและคนงานไทยเพิ่มขึ้น ย้ำการทำหน้าที่ประสภาฯอย่างเป็นกลาง เพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชน
โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าวว่า “วันที่ 1 กันยายนนี้จะครบ 5 ปีของการก่อตั้งพรรคประชาชาติ ซึ่งผมและพวกเราทั้งหลายได้ร่วมกันจัดตั้งพรรคประชาชาติขึ้น 5 ปีถือว่ายังไม่นานนัก ถ้าเปรียบเทียบกับเด็กก็เพิ่งพ้นชั้นอนุบาล พรรคประชาชาติทำงานมา 5 ปีก็ยังถือว่าเราเป็นเด็ก แต่ด้วยความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า และพี่น้องประชาชนไทยทั่วประเทศยอมรับ เพียง 5 ปีเราได้เติบโตทางสมอง ที่คิดต่อสู้กับปัญหาอุปสรรค ทางด้านจิตใจที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบ มีเมตตาธรรม อยู่ในหลักการของคำสั่งสอนทุกศาสนา ที่ผ่านมามีบททดสอบมากมาย หลายคนบอกว่าประชาชาติเป็นพรรคเฉพาะกิจ ตั้งพรรคแล้วก็เลิกไป เพราะไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเท่าที่ควร แต่ตลอดระยะเวลา 5 ปีพิสูจน์แล้วว่าเราไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจแน่นอน เพราะมีสมาชิกพรรคเพิ่มขึ้นเป็น 24,000 คน และอาจจะเพิ่มเป็น 100,000 คนในอนาคต นี่คือสิ่งยืนยันว่าเราไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ พรรคประชาชาติเติบโตขึ้น แม้จะมีบางพรรคการเมืองจะรั้งความเติบโต พยายามไม่ให้ชนะเลือกตั้ง แต่ด้วยความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเขาไม่สามารถทำให้พรรคล่มจมได้ พระผู้เป็นเจ้ายังเมตตาเพราะเรารักษาอามานะห์ (สัจจะ) ตั้งแต่วินาทีแรกของการตัังพรรคจนถึงปัจจุบัน”
ก่อนหน้านี้มีประเด็นข่าวว่าพรรคประชาชาติอาจถูกยุบพรรค ประเด็น กกต.ตัดสิทธิ์ผู้สมัครเลือกตั้งในจังหวัดสงขลา 2 เขต และจังหวัดสตูล 2 เขตนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ยืนยันไม่มีปัญหาใดๆกระทบต่อหัวหน้าพรรคและพรรคการเมือง โดยชี้แจงว่า “ศาลฎีกาตัดสินว่าผู้แทนประจำจังหวัดทั้ง 4 เขต หมดวาระการดำรงตำแหน่ง ซึ่งเราได้แจ้ง กกต.ไปแล้วว่าเมื่อยังไม่มีการเลือกตั้งใหม่ก็ให้รักษาการไปก่อน แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องเคารพคำตัดสินของศาล ส่งผู้สมัครเลือกตั้งที่ไม่มีสิทธิ์ลงสมัครจะมีผลกระทบต่อหัวหน้าพรรค ขอยืนยันว่า ไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด คำตัดสินของศาลฎีกาถึงที่สุด ผู้แทนประจำจังหวัดหมดวาระไม่สามารถส่งผู้สมัครได้ เท่ากับว่าผู้สมัครเลือกตั้งสี่คนนั้นถูกตัดออก จึงไม่มีผลกระทบต่อหัวหน้าพรรคและพรรคการเมือง ซึ่งไม่มีข้อกังวลใดๆ และได้ชี้แจงแล้ว รวมทั้งผู้สมัครที่ถูกตัดสิทธิ์ก็ยังสามารถดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคได้”
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ย้ำทำหน้าที่ประสภาฯ ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรี โดยกล่าวว่า “การทำหน้าที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้นมีความสำคัญ เพราะเป็นหนึ่งในประมุขของอำนาจอธิปไตยของประเทศ คือนายกรัฐมนตรีเป็นประมุขฝ่ายบริหาร ประธานรัฐสภาเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ประธานศาลฎีกาเป็นประมุขฝ่ายตุลาการ สามอำนาจนี้คือเสาหลักของประชาธิปไตย พรรคเล็กอย่างเราก็ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเป็นประธานรัฐสภา ผมเคยเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกเมื่อปี 2539 เมื่อ 27 ปีที่แล้ว นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง นี่คือตักดีร (สิ่งที่พระเจ้าลิขิตไว้) เป็นความโปรดปรานของพระผู้เป็นเจ้าผมก็น้อมรับไว้เพื่อบ้านเมืองและพี่น้องประชาชนจำเป็นต้องทำ เพราะเป็นตำแหน่งสำคัญ ถ้าไม่มีประธานรัฐสภาก็เลือกนายกรัฐมนตรีไม่ได้ เมื่อรับตำแหน่งนี้แล้วผมต้องทำงานหนักกว่าเดิมเพื่อพี่น้องประชาชน เกียรติยศ และศักดิ์ศรีของพวกเราทุกคน”
“ประธานรัฐสภามีหน้าที่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เมื่อวันที่ 5-11 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยไปประชุมสมัชชารัฐสภาอาเซียน (AIPA) ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีประเทศสมาชิก 10 ประเทศ และมีประเทศผู้สังเกตการณ์อีก 20 กว่าประเทศ จะขอเล่าให้ฟังว่าประธานรัฐสภาของประเทศไทยได้รับความสนใจจากหลายประเทศมาก เพราะประธานรัฐสภาเป็นมุสลิมในประเทศที่มีมุสลิมไม่ถึง 10% และได้เป็นประธานสภาฯถึงสองครั้ง ประธานรัฐสภาหลายประเทศจึงมาพบเป็นการส่วนตัวเพื่อแสดงความยินดี คารวะ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประเทศผู้สังเกตการณ์หลายประเทศมาขอพบด้วย เช่น โมร็อกโก และสิ่งที่ผมดีใจมากคือการขอเข้าพบของรองประธานรัฐสภาประเทศยูเครน เขาเป็นประเทศที่กำลังเดือดร้อนและกำลังถูกรุกรานเอกราช และกำลังทำสงครามมาขอพบ ผมก็ยินดี แต่หลายประเทศไม่ให้พบเพราะเกรงใจประเทศมหาอำนาจที่กำลังสู้รบอยู่ แต่ผมไม่เป็นไรยินดีพูดคุย เขาพูดยาวมาก เขาขอโทษที่พูดยาวและรบกวนเวลา ผมได้พูดตอบเขาแทนท่านทั้งหลายว่าไม่เป็นไร เสียงของคนที่เดือดร้อน เสียงของคนที่กำลังต่อสู้เพื่อสันติภาพและเอกราชของตนเอง เป็นเรื่องที่เราต้องรับฟัง เขานั่งซึมเลย ผมในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติจะรับฟังและเล่าสู่ให้กับฝ่ายบริหารต่อไป คนที่เดือดร้อนกำลังต่อสู้เพื่อเอกราชและสันติภาพ เป็นสิ่งที่เราควรจะรับฟัง เช่นเดียวกับพี่น้องประชาชนในประเทศของเรา ผมเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ถ้าประชาชนเดือดร้อนเราไม่สามารถจะบอกได้ว่าเป็นเรื่องของฝ่ายใด ความเดือดร้อนของประชาชนต้องไม่มีฝ่ายใดที่จะไม่รับฟัง เพราะฉะนั้นถึงแม้ผมจะเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ มีเหตุระเบิดที่มูโน๊ะ ผมและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็พร้อมที่จะลงพื้นที่ และไปดูแลความเดือดร้อนเหล่านี้ พี่น้องประชาชนจะต้องได้รับการดูแลไม่เฉพาะแค่ฝ่ายบริหารเท่านั้น เราฝ่ายนิติบัญญัติก็ต้องดูแลท่าน เพราะท่านเดือดร้อน ท่านเสียชีวิตและทรัพย์สิน เราต้องไม่ทอดทิ้งกัน”
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าวถึงการพบปะกับประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ว่า “ผมได้รับโอกาสพบกับท่านโจโก วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นประธานอธิบดีครั้งที่สอง และเป็นผู้นำคนสำคัญที่ทำให้อินโดนีเซียเจริญก้าวหน้า ได้พูดคุยกันสั้นๆเพียง 20 นาทีที่ทำเนียบประธานาธิบดี ผมบอกท่านว่า ท่านเป็นบุคคลที่ผมอยากพบมาก เขาถามว่าทำไม ผมบอกว่าเพราะท่านคือผู้นำของประเทศอาเซียน ที่พัฒนาประชาธิปไตยมากที่สุดคนหนึ่ง ท่านเป็นผู้นำเศรษฐกิจของอาเซียน ประชากร 280 ล้านคนเจริญก้าวหน้า ด้วยฝีมือของท่านเพราะฉะนั้นท่านจึงเป็นคนที่ผมอยากพบมากที่สุด และอยากจะขอความกรุณาท่านช่วยทำให้เศรษฐกิจที่บ้านผม คือทำราคายางพาราให้สูงขึ้น เพราะขณะนี้ประเทศที่ผลิตยางพารามากที่สุดในโลกอันดับหนึ่งคือประเทศไทยและอันดับสองคืออินโดนีเซีย 2 ประเทศนี้ผลิตยางพาราเกินครึ่งหนึ่งของโลก คือ 54% อีก 10 ประเทศแค่ 46% ถ้าเราจับมือกันเราจะสามารถทำราคายางพาราให้สูงขึ้นได้ เพราะมีประเทศผู้ใช้ยางพารามากกว่าร้อยประเทศ และสินค้าที่ใช้ยางพาราก็มีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ท่านประธานาธิบดีบอกว่าเห็นด้วยและจะมอบให้รัฐบาลอินโดนีเซียมาหารือกับรัฐบาลใหม่ของไทย นี่คืออามานะห์ (ความรับผิดชอบ) ที่ได้พูดหาเสียงกับท่านไว้ ได้นำไปทำแล้ว โดยหารือกับผู้นำประเทศ และได้ไปพบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของอินโดนีเซีย ซึ่งดูแลราคายางพารา เขาเห็นด้วยกับวิธีที่เรานำเสนอ อินชาอัลลอฮฺ (ด้วยความประสงค์ของพระเจ้า) ขอดุอาอ์ให้ ประเทศไทยและประเทศอินโดนีเซียจับมือกัน ทำให้ประชากรทั้งสองประเทศมีการพัฒนา เศรษฐกิจราคายางพารา อย่างน้อยควรจะได้ 70 บาท ต้องทำได้ เมื่อเป็นรัฐบาลมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่แล้ว ผมจะชี้แจงให้เร็ว เพราะอินโดนีเซียบอกว่าต้องรีบหารือระหว่างรัฐบาลต่อไป”
นอกจากนี้ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา มีแผนจะเดินทางเยี่ยมรัฐสภาหลายประเทศ หลังปิดสมัยประชุมสภาฯ “ก่อนหน้านี้ประธานสภาที่ปรึกษาซาอุดิอาระเบียได้มาเยี่ยมคารวะที่รัฐสภาไทย ได้หารือกันดีมากท่านเชิญผมไปเยี่ยมประเทศซาอุดิอาระเบีย และเข้าเฝ้ามกุฎราชกุมารมูฮัมมัด บินซัลมาน ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย เพราะมีเรื่องที่เราพูดคุยกันเรื่องการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่องการลงทุน การศึกษา และศาสนา ซึ่งหลังปิดสมัยประชุมนี้ ผมจะเดินทางไปเยือนประเทศซาอุดีอาระเบีย และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง เพื่อที่จะดึงนักท่องเที่ยวมาเที่ยวประเทศไทย และขอให้เขารับนักศึกษาไทย และคนงานไทยเข้าทำงานมากยิ่งขึ้น เป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติไม่ใช่ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรอย่างเดียวแต่ต้องเปิดประตูสภาให้กว้างไปสู่ต่างประเทศ และไม่ใช่ทำเฉพาะในประเทศมุสลิมอย่างเดียว รวมถึงประเทศจีนและเกาหลีด้วยที่มีการลงทุนในประเทศไทยจำนวนมาก ผมเดินทางไปในฐานะตัวแทนของพี่น้องประชาชน”
“ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือเราได้พูดหาเสียงว่าเราต้องได้เป็นรัฐบาล เรามี สส. 9 คน ทันทีที่มีการจัดตั้งรัฐบาล เราเป็นพรรคแรกๆที่มีการเชิญจากแกนนำจัดตั้งรัฐบาลให้เข้าร่วมรัฐบาล เรามี สส.ไม่มาก จำนวนรัฐมนตรีก็มีไม่มาก แต่เราได้มาถึงบันไดขั้นแรกแล้ว และเราต้องก้าวขึ้นบันไดต่อไปข้างหน้า แน่นอนว่าการก้าวไปข้างหน้าต้องมั่นคง แบะบางอย่างฝ่ายตรงข้ามอาจจะไม่ชอบ ทำไมต้องไปร่วมรัฐบาลกับพรรคนู้นพรรคนี้ ขอเรียนว่าการทำงานนั้นต้องรู้จักถอยไปคนละก้าว ถึงจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง จะชอบหรือไม่ชอบ แต่ต้องมีรัฐบาลและต้องเป็นรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ถ้าเรายืนหยัดไม่ถอยเลย โอกาสที่จะมาแก้ไขปัญหาประชาชนก็ไม่มีเหมือนเดิม สิ่งดหล่านี้ผมไม่ได้มาพูดเพื่อแก้ตัว แต่จะให้เข้าใจบทบาทหน้าที่ที่จะต้องทำ และความปรองดองของประเทศ ตรงกับหลักศาสนาว่าอะไรที่เป็นการปรองดองก็ควรทำ เราจะจับมือใครโดยไม่ยื่นมือไปก็ไม่ได้ เว้นแต่เราจะเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เราจะทำอะไรได้มากกว่านี้ และเราก็มีตัวแทนไปร่วมคณะรัฐมนตรี ในรอบ 5 ปีพรรคประชาชาติเรามีตัวแทนในสภาผู้แทนราษฎรเป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ และมีตัวแทนไปนั่งเป็นคณะรัฐมนตรี และยังทีอีกหลายคนไปนั่งเป็นคณะทำงาน”
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าวทิ้งท้าย ย้ำทำหน้าที่ประธานรัฐสภาอย่างเป็นกลาง “เราเป็นประธานรัฐสภาไม่สามารถทำให้ทุกคนชอบเราได้ เหมือนกับเป็นกรรมการแข่งกีฬา คนที่สมหวังก็ชื่นชอบกรรมการ คนที่ผิดหวังก็ตำหนิกรรมการว่าไม่ดี แต่เขาไม่พูดว่าเขาอ่อนซ้อม ผมตระหนักดีและมีกำลังใจเต็มเปี่ยม พร้อมสู้กับอุปสรรคเต็มที่ ไม่มีวันท้อถอย ไม่ใช่เพื่อตนเองแต่เพื่อประชาชนและพระผู้เป็นเจ้า ถ้าเราทำไม่ดี ไม่ใช่ว่ากลัวถูกเขาฟ้อง แต่กลัวว่าจะตอบพระผู้เป็นเจ้าอย่างไร ว่าทำไมตอนเป็นประธานสภาไม่วางตัวเป็นกลาง เราต้องรับโทษ ซึ่งโทษในโลกนี้เราแก้ได้ แต่โทษในวันแห่งการพิพากษาของพระเจ้าเราแก้ไม่ได้ ขอยืนยันว่าในฐานะประธานจะทำหน้าที่อย่างเป็นกลางที่สุด เพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทุกๆคน
นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา