26/11/2024

ตำรวจไซเบอร์ จับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “แก๊งตึกประตูดำ หน้าวัดตาด ปอยเปต” องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ

ตำรวจไซเบอร์ จับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “แก๊งตึกประตูดำ หน้าวัดตาด ปอยเปต” องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ คนร้ายทำหน้าที่ สาย 1 เพิ่มเติม หลอกผู้เสียหายอ้างเป็นพนักงาน FedEx มีพัสดุผิดกฎหมายตกค้างที่กรมศุลกากร พบมีผู้เสียหายรวมกว่า 145 ล้านบาท
.
สืบเนื่องมาจากได้มีผู้เสียหายถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงอ้างว่าเป็นพนักงานบริษัทขนส่ง FedEx
มีพัสดุผิดกฎหมายส่งจากต่างประเทศติดที่กรมศุลกากร และทำผิดฐานฟอกเงิน จึงหลงเชื่อโอนเงินไปจำนวนหลายราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 145 ล้านบาท ซึ่งผู้ที่ถูกหลอกลวงได้แจ้งความผ่านระบบการรับแจ้งความออนไลน์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (www.thaipoliceonline.com) เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน บก.สอท.1 จึงได้ทำการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ได้ยื่นคำร้องขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมด และศาลได้อนุมัติหมายจับ จำนวนทั้งสิ้น 58 หมายจับ ซึ่งผู้ต้องหาในคดีนี้ ได้เป็นสมาชิกของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยร่วมกันกระทำผิดมีจำนวนตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ตกลงเข้าเป็นสมาชิกองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ได้กระทำผิดโดยใช้ระบบการโทรศัพท์มาหาเหยื่อ โดยวิธีการสุ่มโทร(VOIP) ไม่ระบุเฉพาะเจาะจงว่าเป็นผู้ใด เพื่อหลอกลวงให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สิน อันเป็นความฐานฉ้อโกงประชาชน โดยการแสดงตนเป็นคนอื่น อันมีอัตราโทษจำคุกจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 7 ปี ซึ่งพบการกระทำความผิดบางส่วนในราชอาณาจักรไทย และบางส่วนนอกราชอาณาจักรไทย เมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา อันเป็นสถานที่ตั้งทำงานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แบ่งหน้าที่กันทำงาน ลักษณะเป็นขบวนการ พนักงานโทรศัพท์ ล่าม
ผู้จัดหาพนักงานและสมุดบัญชีธนาคาร และหัวหน้าแก๊งผู้ควบคุมดูแลพนักงานคอลเซ็นเตอร์ จ่ายเงินค่าตอบแทน และมีการหลอกผู้เสียหายสาย 1 สาย 2 และสาย 3 เมื่อสมาชิกอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้นได้กระทำผิด และสมาชิกที่อยู่ด้วยไม่ได้คัดค้านการกระทำผิดนั้น ย่อมถือว่าได้ร่วมกันกระทำความผิดฐานตัวการด้วยทุกคน ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 4 ปี ถึง 15 ปี และเงินของผู้เสียหายที่ผู้ต้องหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้ไปมีการโอน
ยักย้าย จนไม่สามารถติดตามได้คืน ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิดอันเป็นความผิดมูลฐานการฟอกเงิน ( นัยคำพิพากษาฎีกา ที่ 283/2565 )
.
ต่อมา วันที่ (8 มิ.ย.2566) เวลา 07.40 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน บก.สอท.1 ได้ทำการจับกุมตัวนางสาวอรวรรณ อายุ 23 ปี ผู้ต้องหา ตามหมายจับศาลอาญาที่ 109/2566 ลงวันที่ 13 มกราคม 2566 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น , ร่วมกันเป็นอั้งยี่ , ร่วมกันเป็นซ่องโจร , ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ , ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน” โดยทำการจับกุมได้ที่ บริเวณบ้านกำลังก่อสร้าง ในพื้นที่ ต.บางคูเวียง อ.บางกรวย จว.นนทบุรี
.
ในเบื้องต้น ผู้ต้องหา ได้ให้การว่าถูกชักชวนให้ไปทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน โดยเสนอเงินเดือนสูงเดือนละ 30,000 บาท หลงเชื่อจึงตกลงเดินทางไปทำงานดังกล่าว แต่สุดท้ายก็ได้รับเงินเดือนเพียงเดือนละ 20,000 บาทเท่านั้น โดยให้พักรวมกับคนร้ายอื่นๆ ในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งประตูรั้วเป็นสีดำ มีกำแพงสูงล้อมรอบ และมักพบเห็นมีคนอื่นๆ พยามกระโดดหนีจากการควบคุมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หากถูกจับได้จะถูกลงโทษโดยหัวหน้าชาวจีน ผู้ต้องหาได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่สาย 1 คอยรับโทรศัพท์เป็นจำนวนมาก และจำไม่ได้ว่าคุยกับใครบ้าง เมื่อเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน บก.สอท.1 ให้ดูรายชื่อเพื่อนร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่วนใหญ่จะถูกจับกุมดำเนินคดีเกือบทุกรายที่ผู้ต้องหารู้จัก ผู้ต้องหาทำงานแค่ 3 เดือน จึงได้หาเงินไถ่ตัว โดยจ่ายเงินให้หัวหน้าคนจีน จำนวน 30,000 บาท ถึงได้ถูกปล่อยตัว และเดินทางกลับมาประเทศไทย
.
เตือนภัย ฝากไปยังประชาชนให้พึงระวังการหลอกลวงลักษณะดังกล่าว ต้องรู้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพ ควรมีสติก่อนการโอนเงินทุกครั้ง ควรหาข้อมูลให้รอบด้าน อย่าหลงเชื่ออะไรง่ายๆ ควรตรวจสอบให้ดีก่อน “ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน” รวมทั้ง ผู้ที่สนใจสมัครงานไปทำงานยังฝั่งเพื่อนบ้าน อาจถูกหลอกลวง อาจถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว หรือมีการทำร้ายร่างกายจากหัวหน้าแก๊งคนจีน อันตรายถึงชีวิตก็ได้ จึงไม่ควรหลงเชื่อไปทำงานดังกล่าว ทั้งนี้ การปฏิบัติการของ บช.สอท. ยังคงมุ่งเน้นที่จะสนองนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งดำเนินการปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการหลอกลวงบนสื่อสังคมออนไลน์อย่างจริงจัง และต่อเนื่อง โดยบูรณาการร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงผลการปฏิบัติงานที่เป็นรูปธรรม คำนึงถึงความเดือดร้อน และอำนวยความยุติธรรมของประชาชนเป็นสำคัญ
.
ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์
คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ฐายุฏฐ์ จันทร์ถาวร รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ไพโรจน์ สุขรวยธนโชติ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท. , พ.ต.อ.ศรายุทธ จุณณวัตต์ , พ.ต.อ.ทำนุรัฐ คงมั่น , พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ , พ.ต.อ.ปรีดา คงจัด , พ.ต.อ.ณัฐภณ จินตะนานุช รอง ผบก.สอท.1 ,
พ.ต.อ.ภูมิสิษฐ์ ตั้งวิทย์เดชา ผกก.2 บก.สอท.1 และ พ.ต.อ.ศุภรฐโชติ จำหงษ์ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.1 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

เรื่องราวที่คุณอาจพลาดไป